พระครูสุวรรณวุฒาจารย์
หลวงพ่อมุ่ย พุทธรักขิโต
วัดดอนไร่ ตำบลหนองสะเดา อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี

พระครูสุวรรณวุฒาจารย์ นามเดิม มุ่ย ฉายา พฺทฺธรกขิโต (พ.ศ. 2437 - 15 มกราคม พ.ศ. 2517) เป็นพระเกจิอาจารย์นักปฏิบัติธรรมปฏิบัติดีปฏิบัติชอบที่ชาวบ้านต่างให้ความเลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างมาก พระเครื่องของท่านได้รับความนิยมอย่างสูงมากในปัจจุบัน ท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่ออิ่ม วัดหัวเขา
ประวัติ
"พระครูสุวรรณวุฒาจารย์" หรือ หลวงพ่อมุ่ย ท่านถือกำเนิดเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๓๑ ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือนอ้าย ปีฉลู ที่บ้านดอนไร่ อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี
เป็นบุตรของ คุณพ่อเหมือน คุณแม่ชัง มีศรีไชย มีพี่น้องทั้งหมด ๕ คน คือ
๑. นางน้ำอ้อย จันทร์สุวรรณ
๒. นางน้ำตาล จีนสุกแสง
๓. นายช่อง มีศรีไชย
๔. นายเชื่อม มีศรีไชย (หลวงพ่อมุ่ย พุทฺรักฺขิโต)
๕. นางสาคู มีศรีไชย
เนื่องด้วยครอบครัวของท่านมีอาชีพทำไร่ทำนา ในวัยเด็กของท่านจึงมีชีวิตตามประสาเด็กชนบททั่วไป โดยช่วยเหลือครอบครัวในการเลี้ยงควาย เมื่อเข้าวัยหนุ่มท่านได้เข้ารับการเกณฑ์ทหาร ผลว่าท่านถูกเกณฑ์เป็นทหารและทางอำเภอได้ส่งตัวท่านไปยังจังหวัด แต่ท่านก็ต้องถูกส่งตัวกลับมาด้วยเหตุผลประการใดไม่ทราบ สรุปคือท่านก็ไม่ได้เป็นทหาร ภายหลังจากการเกณฑ์ทหารเรียบร้อยแล้ว ท่านได้เข้ารับการอุปสมบท เมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๒ ณ.พัทธสีมาวัดท่าช้าง ตำบลท่าช้าง อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี โดยมี "พระครูศีลกิติ" (หลวงพ่อกฤษณ์) วัดท่าช้าง เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่ออิ่ม วัดหัวเขา เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอนุสาวนาจารย์ไม่ทราบชื่อแน่ชัด
ในช่วงนี้ท่านได้เข้ารับการศึกษาเล่าเรียนวิชาต่างๆจากพระอาจารย์ต่างๆอยู่พอสมควร
เมื่อท่านอุปสมบทได้ ๑๐กว่าพรรษา ท่านก็ได้ลาสิกขาบท เพื่อมาช่วยบิดามารดาซึ่งชราทำไร่นา ในช่วงนี้ท่านได้เกิดล้มป่วยแทบเอาชีวิตไม่รอด ยากจะดูแลรักษาให้หายได้ ท่านจึงได้ตั้งสัจจะอธิษฐานไว้ว่า หากหายจากอาการเจ็บป่วย จะฝากกายถวายชีวิตในพระพุทธศาสนาตลอดไป เป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนักต่อมาอาการเจ็บป่วยของท่านก็ได้หายไป และช่วงนี้ท่านก็ได้เปลี่ยนชื่อจาก "เชื่อม" มาเป็น "มุ่ย" สรุปแล้วท่านลาสิกขาบทมาได้ไม่กี่เดือนก็อุปสมบทใหม่เป็นครั้งที่สอง
ท่านได้อุปสมบทเป็นครั้งที่สอง เมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม พ.ศ.๒๔๖๕ ณ. พัทธสีมาวัดตะค่า (วัดดอนบุบผาราม) ตำบลบ้านกร่าง อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี โดยมี "พระครูธรรมสารรักษา" (หลวงปู่อ้น) วัดดอนบุบผาราม เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ ทวน วัดบ้านกร่าง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์กุล วัดดอนบุบผาราม เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับชื่อทางพระพุทธศาสนาจากพระอุปัชฌาย์ว่า "พุทฺธรักฺขิโต"
เนื่องด้วยหลวงพ่อมุ่ยท่านเป็นผู้คงแก่เรียน หมั่นขวนขวายหาความรู้อยู่เสมอๆ จึงทำให้ท่านชำนาญและเชี่ยวชาญในศาสตร์หลายแขนง การเรียนรู้ในศาสตร์หลายแขนงของท่าน ได้พากเพียรเรียนรู้มาตั้งแต่การอุปสมบทครั้งแรก เมื่อกลับมาอุปสมบทอีกครั้งด้วยพื้นฐานที่รอบรู้อยู่แล้วและศึกษาเพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลาจึงทำให้ท่านรอบรู้และแตกฉานยิ่งขึ้น ครูบาอาจารย์ที่หลวงพ่อมุ่ยไปศึกษามานั้นมีอยู่มากมายเกินสิบท่านขึ้นไปแต่ก็สืบเสาะได้ยากยิ่งเนื่องจากหลวงพ่อมุ่ยท่านไม่เคยเล่าให้ลูกศิษย์ฟัง แต่เท่าที่สืบค้นได้ก็มีดังนี้

๑. พระครูธรรมสารรักษา หรือ (หลวงปู่อ้น วัดดอนบุบผาราม) อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี หลวงปู่อ้นท่านเป็นพระอาจารย์ยุคเดียวกันกับ (หลวงพ่อเนียม วัดน้อย) ในยุคนั้นหลวงปู่อ้นท่านมีชื่อเสียงโด่งดังมากในแถบจังหวัดสุพรรณบุรี ท่านเป็นรองเจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรีในยุคสมัยนั้น ท่านขึ้นชื่อมากในด้านแพทย์แผนโบราณ และพุทธาคมก็ยังเป็นเลิศ หลวงพ่อมุ่ยได้ศึกษาเล่าเรียนวิชาอาคมจากหลวงปู่อ้น หลวงปู่อ้น จึงนับเป็นพระอาจารย์รูปแรกของท่านเท่าที่มีการบันทึกมา

๒. หลวงพ่ออิ่ม วัดหัวเขา อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี หลวงพ่อมุ่ยสนใจในวิปัสสนากรรมฐานมาก ซึ่งในยุคนั้นพระอาจารย์วิปัสสนากรรมฐานของเมืองสุพรรณที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ก็มี (หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน) , (หลวงพ่ออิ่ม วัดหัวเขา) และ (หลวงพ่อปลื้ม วัดพร้าว) หลวงพ่อมุ่ยได้เลือกศึกษาวิปัสสนากรรมฐานและคาถาอาคมต่างๆจากหลวงพ่ออิ่ม วัดหัวเขาในช่วงที่บวชครั้งที่สอง ศึกษาจากหลวงพ่ออิ่มเป็นระยะเวลา ๑พรรษาเต็ม หลังจากศึกษาจากหลวงพ่ออิ่มหมดแล้ว หลวงพ่ออิ่มก็ได้พาไปศึกษาต่อกับหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า อ.วัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลกันมากนัก

๓. พระครูวิมลคุณากร (หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า) อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท ในยุคนั้น หลวงปู่ศุข ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศ มีลูกศิษย์ลูกหามาขอศึกษาวิชาต่างๆกับท่านมากมาย หลวงพ่อมุ่ยก็เช่นกัน ภายหลังจากที่ศึกษาวิชาต่างๆจากหลวงพ่ออิ่ม วัดหัวเขา จนหมดแล้ว หลวงพ่ออิ่มจึงแนะนำให้ไปศึกษาเพิ่มเติมอีกที่หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงพ่ออิ่มเคยเล่าให้ลูกศิษย์ของท่านฟังว่า ตัวท่านเองแก่แล้ว จึงศึกษาเวทมนต์ คาถาอาคมต่างๆจากหลวงปู่ศุขได้ครึ่งเล่ม ส่วนหลวงพ่อมุ่ยท่านยังหนุ่มสามารถศึกษาได้ถึงเล่มครึ่ง หลวงพ่อมุ่ยท่านเป็นที่รักใคร่ของหลวงปู่ศุขมาก เป็นศิษย์ชั้นแถวหน้าของหลวงปู่ศุขเลยทีเดียว กล่าวกันว่าท่านได้รับถ่ายทอดวิชาอาคมมาจากหลวงปู่ศุขมาก รองมาจากกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์

๔. อาจารย์กูน วัดบ้านทึง อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี
อาจารย์กูน วัดบ้านทึง เป็นฆราวาสที่โด่งดังที่สุดของจังหวัดสุพรรณบุรี เดิมท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านทึง แต่ต่อมาท่านได้ลาสิกขาบท ท่านเชี่ยวชาญมากในด้านไสยศาสตร์และแพทย์แผนโบราณ สามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆได้ดี เป็นที่พึ่งของชาวบ้านตลอดมา อาจารย์กูนเป็นผู้ที่ขึ้นชื่อเลื่องลือมากในยุคนั้น หลวงพ่อมุ่ยท่านสนใจในด้านแพทย์แผนโบราณมากจึงได้เดินทางไปขอฝากตัวเป็นศิษย์ต่ออาจารย์กูนในสมัยที่อาจารย์กูนท่านยัง ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบ้านทึงอยู่ และอาจารย์กูนยังได้มอบตำราการทำยาหอมให้ท่านมาด้วย ซึ่งต่อมาท่านก็มอบต่อให้ศิษย์ท่านเอาไปทำยาหอม ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักกันดีคือ "ยาหอม ตราฤาษีทรงม้า"

๕. หลวงพ่อปลั่ง วัดวิมลโภคาราม อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี ท่านเชี่ยวชาญในด้านคาถาอาคมมากผู้หนึ่งหลวงพ่อมุ่ยจึงได้ฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อศึกษาวิชาอาคมต่างๆจากท่าน
๖. นอกจากนี้ยังมีพระอาจารย์ของท่านอีกซึ่งไม่ปรากฏหลักฐานยืนยัน ชัดเจนว่าหลวงพ่อมุ่ยได้ศึกษาอะไรไปบ้าง อย่างเช่น หลวงพ่อกฤษณ์ วัดท่าช้าง (พระอุปัชฌาย์ในการบวชครั้งแรกของหลวงพ่อมุ่ย) ฯลฯ

งานด้านการปกครอง
ปี พ.ศ.๒๔๗๕ เป็นเจ้าอาวาสวัดดอนไร่
ปี พ.ศ.๒๔๗๖ เป็นเจ้าคณะตำบลหนองสะเดา

สมณศักดิ์
ปี พ.ศ.๒๔๙๖ ได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์ ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ ๑ใน ๒รูปของอำเภอสามชุกในสมัยนั้น
ปี พ.ศ.๒๕๐๒ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรที่ พระครูสุวรรณวุฒาจารย์ ซึ่งเป็นพระครูสัญญาบัตร ๑ใน ๒รูปของอำเภอสามชุกในสมัยนั้น

อุปนิสัย
หลวงพ่อมุ่ยท่านเป็นพระสมถะ ปฏิบัติตนอยู่ในกรอบของพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัดเสมอต้นเสมอปลาย ทำสิ่งใดแต่พอเหมาะพอควร มีความเมตตาแก่สัตว์โลกทั่วไปทุกหมู่เหล่า ท่านทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อพระพุทธศาสนาอย่างเต็มที่ด้วยเคยตั้งมั่น อธิษฐานชีพนี้เพื่อพระพุทธศาสนา

และหลวงพ่อมุ่ยท่านไม่เคยโอ้อวดตน อย่างเช่นครั้งหนึ่งสมเด็จพระสังฆราช จวน วัดมกุฏกษัตริยาราม เสด็จมาเป็นประธานในการปลุกเสกพระเครื่องยุทธหัตถีที่พระวิสุทธิสารเถระ หรือ หลวงพ่อถิร วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร เป็นแม่งานจัดสร้าง สมเด็จฯพบหลวงพ่อมุ่ย จึงตรัสถามหลวงพ่อมุ่ยว่า "ทำไมจึงขลังนัก หลวงพ่อมุ่ยก็ตอบว่า หากท่านจะขลังก็คงขลังที่ความดี เพราะตั้งแต่ท่านบวชมา ท่านไม่เคยทำชั่วเลย" สมเด็จฯได้ยินดังนั้นทรงชื่นชอบในคำตอบของหลวงพ่อมุ่ยเป็นอย่างมาก

หลวงพ่อมุ่ย ท่านเป็นพระผู้มีวิชาอาคมสูง พระเครื่องที่ท่านปลุกเสกจึงมีความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ในทุกด้าน จนเป็นที่ประจักษ์ของชาวบ้านในพุทธคุณต่างๆ พระเครื่องหลวงพ่อมุ่ย มีหลายอย่าง อาทิ รูปเหมือนปั๊ม, เหรียญรูปเหมือน, พระพิมพ์สมเด็จ, ผ้ายันต์, ตะกรุด, พระกริ่ง, เครื่องราง ฯลฯ โดยเฉพาะ รูปเหมือนปั๊ม รุ่นแรก ช่างแกะแม่พิมพ์ได้แกะชื่อท่านผิดไป โดยแกะเป็น “หลวงพ่อมุ้ย” วงการนักสะสมพระสายนี้จึงเรียกพระรุ่นนี้ว่า “รูปเหมือนไม้โท”
ต่อมาจึงได้แก้ไขใหม่โดยช่างได้แกะชื่อหลวงพ่อถูกต้อง คือ “หลวงพ่อมุ่ย” วงการเรียกพระรุ่นนี้ “รูปเหมือนไม้เอก” ความผิดพลาดนี้กลับทำให้ “รูปเหมือนไม้โท” มีการเช่าหาแพงกว่า “รูปเหมือนไม้เอก” หลายเท่า
เป็นที่น่าสังเกตอีกกรณีหนึ่ง คือ เหรียญรูปเหมือนหลวงพ่อมุ่ย ส่วนมากจะแกะเพียงชื่อ “หลวงพ่อมุ่ย” และ “วัดดอนไร่” เท่านั้น ไม่มีรายละเอียดอื่นๆ และส่วนใหญ่มักจะเป็นรูปแบบเหรียญที่ไม่เหมือนกับของพระเกจิอาจารย์ท่านอื่นใด พุทธคุณในวัตถุมงคลของท่านเด่นด้าน แคล้วคลาด เมตตามหานิยม
หลวงพ่อมุ่ย ท่านถึงแก่มรณะภาพลงเมื่อ วันที่ ๑๕ มกราคม พ.ศ.๒๕๑๗ สิริอายุ ๘๕ ปี ๕๒ พรรษา ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
