จำนวนชิ้น | ส่วนลดต่อชิ้น | ราคาสุทธิต่อชิ้น |
{{(typeof focus_pdata.price_list[idx+1] == 'undefined')?('≥ '+price_row.min_quantity):((price_row.min_quantity < (focus_pdata.price_list[idx+1].min_quantity - 1))?(price_row.min_quantity+' - '+(focus_pdata.price_list[idx+1].min_quantity - 1)):price_row.min_quantity)}} | {{number_format(((focus_pdata.price_old === null)?focus_pdata.price:focus_pdata.price_old) - price_row.price,2)}} บาท | {{number_format(price_row.price,2)}} บาท |
คงเหลือ | ไม่จำกัด ชิ้น |
จำนวน (ชิ้น) |
- +
|
ซื้อเลย หยิบลงตะกร้า ซื้อเลย หยิบลงตะกร้า คุณมีสินค้าชิ้นนี้ในตะกร้า 0 ชิ้น
|
|
|
|
คุยกับร้านค้า | |
{{ size_chart_name }} |
|
หมวดหมู่ | พระกริ่งพระชัยวัฒน์พระคณาจารย์ |
สภาพ | สินค้าใหม่ |
เพิ่มเติม | |
สภาพ | สินค้ามือสอง |
เกรด | |
สถานะสินค้า | |
ระยะเวลาจัดเตรียมสินค้า | |
เข้าร่วมโปรโมชั่น | |
ไฮไลท์ |
เหรียญองคุลีมาล(พระองคุลีมารเถระ) เจ้าคุณโต วัดสมุหประดิษฐ์ จ.สระบุรี
Angulimala coin (Phra Angulimāra Thera), Chao Khun To, Samuhapradit Temple, Saraburi Province.
|
ข้อมูล |
น้ำหนัก
บาร์โค้ด
ลงสินค้า
อัพเดทล่าสุด
|
รายละเอียดสินค้า |
เหรียญองคุลีมาล(พระองคุลีมารเถระ)
เจ้าคุณโต วัดสมุหประดิษฐ์ เหรียญเก่าอีกเหรียญหนึ่งของจังหวัดสระบุรี
สร้างปี 2470 ขอบเลื่อย ห่วงเชื่อม หลังจาร
สภาพเหรียญสวยมาก แม้จะผ่านมาเกือบ 100 ปี
*****
ท่านเจ้าคุณโต ( พระศรีวิสุทธิดิลกสาวกจรรยานยุศสังฆปาโมกข์ )
ประวัติ
เกิด ปี พ.ศ.2404 พื้นเพเป็นชาวสระบรีโดยกำเนิด
บรรพชา เป็นสามเณรที่วัดบ้านโตน อยู่กับอุปัชฌาย์ล่าห์
อุปสมบท อายุ 21 ปี ณ วัดบ้านโตน หลังจากนั้นไปศึกษาต่อที่กรุงเทพฯ
มรณภาพ ปี พ.ศ.2485 (พระราชทานเพลิงศพ ปี พ.ศ.2493)
รวมสิริอายุ 81 ปี
ท่านเจ้าคุณโต
หลวงพ่อเจ้าคุณโต วัดสมุห์ประดิษฐาราม (สระบุรี)
ท่านเจ้าคุณโต ท่านเกิดประมาณปี พ.ศ. ๒๔๐๔ เป็นคนพื้นบ้านหนองนกชุม ต.โคกสะอาด อ.เสาไห้ จ.สระบุรี โยมบิดา-มารดามิได้ปรากฏนาม พออายุท่านพอบวชได้ จึงบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดบ้านโดนกับ (พระอุปัชฌาย์ล่าห์) เพื่อศึกษาอักษรสมัย หนังสือไทยและขอม จนอ่านออกเขียนได้ จนอายุครบ ๑๒ ปี จึงได้ลงมาศึกษาต่อที่ กทม. อยู่ที่วัดเอี่ยมวรนุช บางขุนพรหม เรียนมูลกัจจายน์ พออายุได้ ๑๗ ปี ได้ย้ายมาอยู่ที่วัดใหม่อมตรส (วัดบางขุนพรหม)
ต่อมาจึงได้เข้าเฝ้า สมเด็จกรมพระยาวชิรญาณวโรรส วัดบวรนิเวศ และได้ศึกษาอยู่ในสำนักเรียนแห่งนี้ โดยไปเรียนเช้าเย็นกลับ สามเณรโตเป็นที่โปรด ปรานและใกล้ชิดสมเด็จฯ เป็นอย่างยิ่ง ต่อมาพอท่านเจ้าคุณโตอายุครบ ๒๑ ท่านจึงทูลลาสมเด็จฯ กลับมาอุปสมบทที่วัดบ้านโดน โดยอุปสมบทกับพระอุปัชฌาย์ล่าห์ แล้วจึงกลับมาจำพรรษาที่ (วัดบางขุนพรหม) และศึกษาพระปริยัติธรรมในสำนัก วัดบวรฯ ตามเดิม ท่านมีความรู้แตกฉานสามารถแปลหนังสือได้คล่องแคล่วแต่ท่านไม่ได้เข้าสอบเอา "เปรียญ"
ต่อมาเจ้าคณะอำเภอเสาไห้ว่างลง สมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ ท่านจึงโปรดตั้ง "พระครูโต" ขึ้นมาดำรงตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอเสาไห้ แต่ท่านหลบไปจำพรรษาอยู่ที่วัดหนองนกชุม ที่บ้านเกิดของท่านอยู่มาไม่นาน ท่านเจ้าคุณศรีพุทธฉายาภิบาล(ศรี) เจ้าคณะจังหวัดสระบุรี (วัดสมุหประดิษฐ์ ) ได้ลาสิกขาบท ครั้งนั้นสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้เสด็จมาประทับยัง วัดสมุหประดิษฐ์ ซึ่งเป็นวัดเจ้าคณะจังหวัด ถามหาพระครูโต และให้คนไปตามมา
เมื่อพระครูโตเข้าเฝ้าจึงได้โปรดสถาปนาให้พระครูโตเป็นเจ้าคณะเมือง และเป็นที่พระครูศรีพุทธฉายาภิบาล และเป็นผู้ดูแลพระพุทธฉายด้วย ท่านพระครูโตอยู่จำพรรษาอยู่ที่วัดสมุหประดิษฐ์ ประมาณ ๕ ปี สมเด็จพระสังฆราชฯ ได้เสด็จมาครองราชการและประทับอยู่ที่ วัดสมุหประดิษฐ์ ทรงตรวจราชการเห็นความเรียบร้อยจากผลงานปกครองของ "พระครูโต" จึงโปรดสถาปนาให้เป็นพระราชาคณะที่ "พระศรีวิสุทธิดิลกสาวกจรรยานยุศสังฆปาโมกข์"(โต) และเป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านเจ้าคุณโตดำรงตำแหน่งพระราชาคณะตลอดมาถึง ๔๕ ปี
วัดสมุห์ประดิษฐ์ เป็นพระอารามหลวง ชั้นตรี ชนิดสามัญ เรียกชื่อเต็มว่า “วัดสมุหประดิษฐาราม” ตั้งอยู่เลขที่ ๒ ถนนพิชัยรณรงค์สงคราม หมู่ที่ ๗ ตำบลสวนดอกไม้ อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ที่ดินที่ตั้งวัดมีเนื้อที่ ๑๕ ไร่ ๓ งาน ๓๓ ตารางวา เจ้าพระยานิกรบดินทร์ มหินทรมหากัลยาณมิตร (โต) ต้นตระกูลกัลยาณมิตร ได้สร้างวัดนี้ขึ้นเมื่อรัชกาลที่ ๓ เพื่ออุทิศให้มารดา เมื่อสร้างวัดเสร็จแล้ว จึงได้น้อมเกล้าฯ ถวายเป็นพระอารามหลวง แต่จะเป็นในรัชกาลไหนไม่แน่ชัดเพราะปรากฏว่า ท่านเจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต) ได้เป็นที่สมุหนายก อยู่ถึง ๒ รัชกาลคาบเกี่ยวกัน คือตอนปลายรัชกาลที่ ๓ และต้นรัชกาลที่ ๔ สันนิษฐานว่าคงจะได้ถวายในรัชกาลที่ ๔ เมื่อสร้างวัดเสร็จแล้วพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดพระราชทานนามว่า “วัดสมุหประดิษฐาราม”
ส่วนการปฏิสังขรณ์ในยุคก่อนๆ ไม่ทราบว่าใครได้ปฏิสังขรณ์อะไร อย่างไรบ้าง คงจะเป็นด้วยในยุคนั้นเสนาสนะและถาวรวัตถุยังบริบูรณ์อยู่ จึงไม่ปรากฏการปฏิสังขรณ์ พึ่งมามีขึ้นในยุคพระครูพุทธฉายาภิบาล (ชา) ผู้ครองวัดรูปที่ ๓ ได้จัดการสร้างกุฏิไม้หลังหนึ่ง
กับปฏิสังขรณ์ศาลา ๒ ห้อง ๑ หลัง สำหรับเป็นที่พักข้าราชการในเวลาถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ด้วยในยุคนั้นการถือน้ำพิพัฒน์สัตยาสำหรับข้าราชการจังหวัดสระบุรี มาประชุมถือที่วัดนี้ทุก ๆ ปี แต่ได้เลิกไปประชุมถือที่อื่นนานแล้ว
ต่อมาถึงยุคพระครูพุทธฉายาภิบาล (ศรี) ผู้ปกครองวัดรูปที่ ๔ พระเจ้าพี่นางเธอ พระองค์เจ้าภัทรายุวดี ทรงบริจาคทรัพย์ส่วนพระองค์ โปรดให้พระครูพุทธฉายาภิบาล (ศรี) ทำการปฏิสังขรณ์ช่อฟ้า ใบระกา ฝาผนัง บานประตูและหน้าต่างพระอุโบสถและกำแพงแก้ว กับเปลี่ยนพื้นชานในกำแพงแก้วซึ่งเดิมปูด้วยกะเบื้องไทย
การปฏิสังขรณ์สิ่งต่าง ๆ ดังกล่าวมาแล้ว ได้อาศัยใช้จ่ายทรัพย์ของพระเจ้าพี่นางเธอ พระองค์เจ้าภัทรายุวดี ทรงบริจาคทั้งสิ้น แต่จะเป็นจำนวนเงินมากน้อยเท่าใดไม่ปรากฏ พอเสร็จการปฏิสังขรณ์แล้ว พระครูพุทธฉายาภิบาล (ศรี) ก็ขอพระบรมราชานุญาตลาสิกขา
ครั้นถึงยุค พระศีลวิสุทธิดิลก (โต) ปกครองวัด ได้จัดการบูรณปฏิสังขรณ์เสนาสนะขึ้นอีก ๖ หลัง สิ้นเงิน ๔๘๐ บาท ๗๙ สตางค์ ขยายสระน้ำของเก่าให้ยาวไปทางทิศตะวันออกอีก
ความสำคัญของวัดในอดีต
เป็นสถานที่สำหรับประชุมข้าราชการจังหวัดสระบุรี เพื่อทำพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ในพระอุโบสถของทุก ๆ ปี แต่ได้เลิกไปประชุมถือที่อื่นนานแล้ว
เป็นสถานที่ตั้งสำนักงานเจ้าคณะเมืองสระบุรี (เจ้าคณะจังหวัด) ปรากฏหลักฐานตั้งแต่รัชกาลที่ ๔
การศึกษา ได้จัดศาลาโรงธรรม(ศาลาการเปรียญ) ในวัดเป็นโรงเรียนประชาบาลแห่งแรกของจังหวัดสระบุรี นามว่า “โรงเรียนประถมสมุหประดิษฐ์” เปิดสอนเมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม ร.ศ.๑๒๖ (พ.ศ.๒๔๕๑)
เมื่อยุค พระศีลวิสุทธิดิลก (โต ธมฺมปญฺโญ) ปกครองวัด และในฐานะดำรงตำแหน่งเจ้าคณะเมืองสระบุรี ได้เป็นผู้ริเริ่มวางรากฐานการพัฒนา ทั้งบุคลากร ทั้งถาวรวัตถุ โดยการวางระเบียบแบบแผนการศึกษาพระปริยัติธรรมขึ้นเป็นแห่งแรก ของจังหวัดสระบุรี ในวัดนี้
- เปิดเรียนนักธรรม พ.ศ. ๒๔๕๘
- เปิดเรียนบาลี พ.ศ.๒๔๗๗
ทั้งนี้ก็ได้ขยายการศึกษาพระปริยัติธรรมไปยังอำเภอต่างๆ ในเขตจังหวัดสระบุรี ตามลำดับจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ ก็ได้มีการจัดการเรียนการสอนอย่างต่อเนื่องตลอดมา
การศึกษาพระปริยัติธรรมทั้งนักธรรมและบาลี
พ.ศ.๒๔๕๘ เปิดสอนนักธรรม โดยมีพระอาจารย์หลอย และ พ.ศ.๒๔๕๙
พระศีลวิสุทธิดิลก (โต) ได้เรียกพระลี จากวัดพระเชตุพนฯ กรุงเทพฯ มาเป็นครูสอนนักธรรมต่อมาเมื่อมีนักธรรมสอบไล่ได้เป็นนักธรรมขึ้นแล้ว ได้พยายามส่งครูไปสอนตามอำเภอต่างๆ ทั้ง ชั้น ตรี โท เอก จนแพร่หลายทั่วทั้งจังหวัดและได้จัดตั้งโรงครัวเลี้ยงพระสงฆ์สามเณรขึ้นในวัดโดยทุนส่วนตัว ให้ได้อาศัยศึกษาเล่าเรียนโดยสะดวกตลอดมา เอาในใส่ดูแลพระสงฆ์สามเณร ทั้งนี้เมื่อเห็นว่าใครสมควรพอจะส่งไปเรียนกรุงเทพฯ ได้ก็ส่งไปเรียนเป็นคราวๆ ไป
พ.ศ.๒๔๗๗ ได้จัดตั้งการศึกษาภาษาบาลีขึ้น โดยขอพระมหามณี สุพโจ กับพระมหาแดง จากสำนักวัดพระเชตุพนฯ กรุงเทพมหานคร มาสอนจึงได้มีเปรียญเกิดขึ้นในจังหวัดนี้เป็นลำดับมา การศึกษาพระธรรมวินัยจึงปรากฏในจังหวัดสระบุรี คือ การพัฒนาบุคคลด้วยการสอนอย่างกว้างขวาง วัดสมุหประดิษฐารามจึงนับได้ว่าเป็นที่ประชุมของพระสงฆ์สามเณรที่สนใจในการศึกษา และการเลี้ยงพระภิกษุสามเณรนักเรียนธรรม-บาลีจึงมีจำนวนมากกว่าวัดอื่นๆ ในสมัยนั้น ซึ่งการเลี้ยงดูพระเณรก็ได้รับการอุปถัมภ์จากญาติของหลวงพ่อเจ้าคุณโต และลูกศิษย์ของท่านไม่ว่าจะอยู่ไกลถึงอำเภอแก่งคอยก็ได้นำสิ่งของต่างๆ มีขนุน กล้วย และผลไม้ชนิดอื่นๆ ก็ได้นำมาถวายเลี้ยงพระภิกษุสามเณรที่มาอยู่ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรม ไม่ว่าจะเป็นนักธรรม หรือบาลี เพราะว่ามีพระภิกษุสามเณรจำนวนนับร้อยรูป
ตั้งแต่พระศีลวิสุทธิดิลก(โต) ผู้ปกครองวัด ได้จัดตั้งสำนักเรียนธรรมวินัยขึ้นที่วัด เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๕๘ มาจนถึงปัจจุบันนี้ มีภิกษุสามเณรเข้าสอบไล่ในสนามหลวงมากบ้าง น้อยบ้าง ทุก ๆ ปี นับว่ามีความเจริญขึ้นจนถึงได้ขยายสำนักเรียนออกไปตามแขวงต่างๆ ในจังหวัดสระบุรีอีกหลายแห่ง
ลำดับเจ้าอาวาสวัดสมุหประดิษฐาราม
๑. พระครูพุทธฉายาภิบาล (ทอง) ไม่ปรากฏหลักฐาน
๒. พระครูพุทธฉายาภิบาล (มี) ไม่ปรากฏหลักฐาน
๓. พระครูพุทธฉายาภิบาล (มหาปรีชา) พ.ศ.๒๔๓๙ - ๒๔๕๐
๔. พระครูพุทธฉายาภิบาล (ศรี) พ.ศ. ๒๔๕๑ - ๒๔๕๖
๕. พระศีลวิสุทธิดิลก สาวกจรรยานุยุตสังฆปาโมกข์ (โต ธมฺมปญฺโญ) เจ้าคณะจังหวัดสระบุรี พ.ศ.๒๔๕๗ - ๒๔๙๓
๖. พระครูสุประดิษฐ์ศีลคุณ (ลี อินฺทโชโต) [ครูสอนนักธรรมรูปแรกของสำนักเรียนนี้] พ.ศ.๒๔๙๔ - ๒๕๑๔
๗. พระสมณวัตรวิมล (คำ มาคโธ) รองเจ้าคณะจังหวัดสระบุรี [ผู้ก่อตั้งโรงเรียนเสาไห้”วิมลวิทยานุกูล”] พ.ศ.๒๕๑๔ - ๒๕๒๘
๘. พระครูโกศลวิหารกิจ (สุวรรณ กุสลจิตฺโต) เจ้าคณะอำเภอเสาไห้ พ.ศ. ๒๕๒๙ - ๒๕๔๓
๙. พระวิสุทธาจารคุณ (ปิ่น ปิยธมฺโม ป.ธ.๖) พ.ศ. ๒๕๔๔ ถึงปัจจุบัน
ท่านเจ้าคุณโต มรณภาพลงในปี พ.ศ. ๒๔๘๕ สิริอายุได้ ๘๑ ปี พรรษาที่ ๖๐
ท่านเจ้าคุณโต ท่านได้สร้าง พระไว้ครั้งแรกมีหลายแบบเช่นเหรียญมีสองแบบ และพระปิดตา เพื่อนำไปแจกแก่ผู้ที่มีจิตศรัทธาร่วมทำบุญสร้างพระอุโบสถวัดหนองนกชุม พระปิดตาเป็นเนื้อโลหะผสม และเมฆพัด ดังที่ได้เล่นหากันผิดเป็นของวัดโพธิ์เอนนั่นเอง
----------
พระองคุลิมาลเถระ
องคุลิมาล หรือ พระองคุลิมาลเถระ เป็นบุคคลสำคัญในยุคต้นแห่งพุทธศาสนา โดยเฉพาะตามพุทธประวัติพุทธฝ่ายเถรวาท เดิมนั้นเป็นโจรปล้นฆ่าคน แต่ภายหลังมีศรัทธาในพุทธศาสนา ได้กลับใจบวชเป็นพระภิกษุ และบรรลุเป็นพระอรหันต์ อีกทั้งมียังบทสวดของท่านอีกด้วย ชื่อ อังคุลิมาลปริตร คำว่า องคุลิมาล นั้นมาจากภาษาบาลี องฺคุลิมาล, จาก องฺคุลิ (นิ้วมือ) + มาล (มาลัย สร้อยคอ สาย แถว) แปลว่า ผู้มีนิ้วมือเป็นมาลัย
แต่เดิมนั้นองคุลิมาลชื่อว่า อหิงสกะ เป็นบุตรของปุโรหิตในราชสำนักของ พระเจ้าปเสนทิโกศล เมืองสาวัตถี บิดามีนามว่า "คัคคะ" มารดามีนามว่า นางมันตานี อหิงสกะได้ไปเรียนวิชาที่เมืองตักกสิลา และสามารถเรียนได้รวดเร็วอีกทั้งยังปรนนิบัติอาจารย์อย่างดี จนเป็นที่รักใคร่ของอาจารย์อย่างมาก เป็นเหตุให้ศิษย์อื่นริษยา จึงยุยงอาจารย์ว่าองคุลิมาลคิดจะทำร้าย อาจารย์จึงคิดจะกำจัดองคุลิมาลเสีย โดยบอกกองคุลิมาลว่า ถ้าจะสำเร็จวิชาต้องฆ่าคนให้ได้ 1,000 คนเสียก่อน องคุลิมาลจึงออกเดินทางฆ่าคน แล้วตัดนิ้วหัวแม่มือมาคล้องที่คอเพื่อให้จำได้ว่าฆ่าไปกี่คนแล้ว เหตุนี้เอง อหิงสกะจึงได้รับสมญานามว่า "องคุลิมาล" เมื่อฆ่าจนครบ 999 คน ก็มาพบพระพุทธเจ้า และได้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ออกบวชเป็นพุทธสาวก ---------------------------------------------------------- ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
เงื่อนไขอื่นๆ |
|
Tags |