จำนวนชิ้น | ส่วนลดต่อชิ้น | ราคาสุทธิต่อชิ้น |
{{(typeof focus_pdata.price_list[idx+1] == 'undefined')?('≥ '+price_row.min_quantity):((price_row.min_quantity < (focus_pdata.price_list[idx+1].min_quantity - 1))?(price_row.min_quantity+' - '+(focus_pdata.price_list[idx+1].min_quantity - 1)):price_row.min_quantity)}} | {{number_format(((focus_pdata.price_old === null)?focus_pdata.price:focus_pdata.price_old) - price_row.price,2)}} บาท | {{number_format(price_row.price,2)}} บาท |
คงเหลือ | ไม่จำกัด ชิ้น |
จำนวน (ชิ้น) |
- +
|
ซื้อเลย หยิบลงตะกร้า ซื้อเลย หยิบลงตะกร้า คุณมีสินค้าชิ้นนี้ในตะกร้า 0 ชิ้น
|
|
|
|
คุยกับร้านค้า | |
{{ size_chart_name }} |
|
หมวดหมู่ | หลวงพ่อจ้อย หลวงพ่อสมศักดิ์ วัดศรีอุทุมพร จ.นครสวรรค์ |
สภาพ | สินค้าใหม่ |
เพิ่มเติม | |
สภาพ | สินค้ามือสอง |
เกรด | |
สถานะสินค้า | |
ระยะเวลาจัดเตรียมสินค้า | |
เข้าร่วมโปรโมชั่น | |
ไฮไลท์ |
รักยม หลวงพ่อจ้อย วัดศรีอุทุมพร นครสวรรค์ พร้อมเข็มกลัดเดิม
Rak Yom,Luang Pho Joi,Wat Sri Uthumporn,那空沙旺,带原创胸针。
|
ข้อมูล |
น้ำหนัก
บาร์โค้ด
ลงสินค้า
อัพเดทล่าสุด
|
รายละเอียดสินค้า |
รัก-ยม มีตำนานความเป็นมา ๒ ทางด้วยกัน
ทางหนึ่งกล่าวว่า สมัยหนึ่งในป่าหิมพานต์อันเป็นที่บำเพ็ญเพียรของเหล่าพระฤาษีทั้งหลาย มีพหลปิติฤาษีเป็นใหญ่กว่าฤาษีทั้งหลาย อยู่มาวันหนึ่พหลปิติฤาษีได้เดินออกจากอาศรมบำเพ็ญเพียรของตนไปเที่ยวเก็บผลไม้เพื่อขบฉัน ขณะเดินผ่านสระน้ำแห่งหนึ่งซึ่งมีปทุมชาติชูช่ออยู่ดารดาษ พหลปิติฤาษีประสงค์จะตักน้ำใส่ในน้ำเต้าเพื่อนำไปบริโภคที่อาศรมนั้น ขณะกำลังตักน้ำได้เหลือบไปเห็นกุมารน้อยคู่หนึ่งนอนอยู่ในรัตตะอุบล (บัวมีสายสีอันแดง) จึงได้นำกุมารทั้งสองกลับไปเลี้ยงดูที่อาศรม ได้ตั้งชื่อกุมารทั้งสองว่า รัตตะกุมาร และยมกะกุมาร พร้อมทั้งถ่ายทอดวิชาทั้งปวง
รัตตะกุมารนั้นมีรูปโฉมงดงาม ส่วนยมมะกุมารแม้จะมีรูปสมบัติด้อยกว่ารัตตะกุมาร หากมีความเชี่ยวชาญในทางกระบวนยุทธ และวิทยาคมทั้งปวง
อยู่มาวันหนึ่งทั้งสองซึ่งเติบโตเป็นหนุ่มฉกรรจ์ คิดจะออกไปเที่ยวตามบ้านเมืองต่างๆ และหาโอกาสเข้ารับราชการทำความดีความชอบใส่ตนต่อไป จึงได้กราบขออนุญาตพหลปิติฤาษี ผู้เป็นอาจารย์อนุญาตพร้อมกำชับแก่กุมารทั้งสองที่เปรียญเสมือนบุตรของตนว่า มาตรแม้นได้เข้ารับราชการเมืองเป็นทหารแห่งพระราชา ณ แคว้นใดแล้ว อย่าไปถือว่าตนเป็นผู้มีวิชาเก่งกล้าทำลายชีวิตมนุษย์และสัตว์โดยไม่จำเป็นเป็นอันขาด จงตั้งใจอยู่ในความไม่ประมาท อย่าทำอันตรายแก่ผู้ด้อยกว่าตน ทั้งสองรับปากแก่พหลปิติฤาษีแล้วออกเดินทางจากอาศรมของผู้เป็นอาจารย์
ต่อมาทั้งสองได้เข้าไปเป็นทหารอาสาอยู่กับพระราชาผู้ครองแคว้นแห่งหนึ่ง และด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ประกอบด้วยความมีฝีมือในทางวิชาที่ร่ำเรียนมาจากพหลปิติฤาษี ทำให้ทั้งสองได้รับตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดีขึ้น โดยรัตตะกุมารได้เป็นทหารเอกแห่งแคว้น ส่วนยมมะกุมารได้ตำแหน่งที่ปรึกษาราชการแผ่นดินแห่งแคว้น
หากต่อมาด้วยความที่มีรูปโฉมงดงามสมชายชาตรีของรัตตะกุมาร เป็นเหตุให้เป็นทีเสน่หาและหลงใหลแก่ราชธิดาของพระราชาแคว้นแห่งนั้น ทว่าพระราชธิดานั้นได้ถูกหมายมั่นจากพระราชาผู้เป็นพระราชบิดาว่าจะให้อภิเษกสมรสกับเจ้าชายหนุ่มผู้ครองแคว้นแห่งหนึ่ง จึงได้คิดแยกรัตตะกุมารและราชธิดาออกเสียจากกัน
แม้แยกราชธิดาจากไปแล้ว ยังความแค้นเคืองแก่รัตตะกุมารเป็นอย่างยิ่ง ถึงกลับหมายมั่นจะลอบปลงพระชนม์พระราชานั้นเสีย ความได้ทราบถึงยมมะกุมาร จึงได้กล่าวเตือนรัตตะกุมารให้รำลึกถึงคำสั่งสอนของพหลปิติฤาษี จากนั้นรัตตะกุมารได้เดินทางไปหาพหลปิติฤาษีถึงอาศรม พร้อมกับบอกเล่าถึงเหตุการณ์และความคิดที่จะปลงพระชนม์พระราชา พหลปิติฤาษีได้กล่าวห้ามทั้งยังให้โอวาทว่า การทำลายเบียดเบียนชีวิตมนุษย์นั้นเป็นบาปมหันต์ เวรจักไม่สิ้นสุด ชาตินี้ฆ่าเขา ต่อชาติหน้าเวรนั้นจักสนองตอบ เขาต้องฆ่าเราเป็นการตอบแทนบ้าง เป็นอย่างนั้นไม่มีที่สิ้นสุด
แต่ความรักของรัตตะกุมารได้ปิดกั้นดวงตาให้มืดมัวเสียแล้ว ด้วยความเคืองแค้นและพิษแห่งความเสน่หา รัตตะกุมารลืมคำสั่งสอนของผู้เป็นอาจารย์เสียสิ้น แม้คำกล่าวเตือนของผู้เป็นอาจารย์ถึงการฆ่าผู้อื่น เมื่อเดินทางกลับสู่นครในค่ำคืนหนึ่งรัตตะกุมารได้ลอบเข้าสู่ที่บรรทมของพระราชา ใช้ดาบคู่มือทำร้ายพระราชาถึงสิ้นพระชนม์
แล้วรัตตะกุมารกลับไปสารภาพถึงเหตุการณ์แก่พหลปิติฤาษี ผู้เป็นอาจารย์เสียใจเป็นอย่างยิ่งที่ศิษย์ของตนละเมิดคำสั่งสอนนั้น กระนั้นรัตตะกุมารยังคงมองเห็นถึงความผิดของตนจึงได้ขอสละเพศวิสัยขอบวชประพฤติพรหมจรรย์บำเพ็ญพรตจนกว่าชีวิตจะหาไม่ และได้ถือประพฤติศีลวัตรอย่างเคร่งครัด จนเมื่อถึงกาลจะสิ้นอายุขัยพหลปิติฤาษีผู้เป็นอาจารย์ได้ถามว่า รัตตะฤาษีปรารถพรสิ่งใด รัตตะฤาษีกล่าวตอบไปว่า แม้นไปเกิดในชาติใดก็ดี ขอให้มีเสน่ห์เป็นที่รักของคนทั้งปวง ขออย่าให้มีศัตรูด้วยประการใดๆ เลย พหลปิติฤาษีว่า ท่านเป็นผู้ฆ่าผู้เบียดเบียนอยู่จักยังไม่ไปเกิดในมนุษย์โลกได้ทันทีหรอก แต่ด้วยบารมีที่สร้างไว้แต่ปัจจุบันชาติในมัชฌิมวัยคือขณะนี้มีอยู่บ้าง กรรมจะมีปัจจัยให้เป็นวัตถุสิ่งหนึ่งที่มีชีวิตแต่หามีจิตใจไม่ วัตถุสิ่งนั้นจะมีคุณดังคำขอนั้นเถิด ผู้เป็นอาจารย์กล่าวจบรัตตะฤาษีก็ถึงกาลกิริยา และที่ตรงอศุภแห่งรัตตะฤาษีนั้นต่อมาได้เกิดต้นไม้ชนืดหนึ่ง มีดอกอันซ้อน มีสรรพคุณเป็นที่รักที่ชอบแก่คนทั้งปวง ดั่งพรแห่งพหลปิติฤาษี คนทั้งหลายเรียกต้นไม้นี้ว่า ‘ต้นรักซ้อน’
ส่วนยมมะกุมารนั้น เมื่อย่างเข้าสู่วัยชราได้สละเพศฆราวาสวิสัย ออกบวชและจำศีลภาวนาอยู่ ณ ตรงอาศรมแห่งรัตตะฤาษี จวบจนสิ้นอายุกาล ณ ตรงบริเวณที่ยมมะฤาษีได้กระทำกาลกิริยาดับขันธ์นั้นก็บังเกิดต้นไม้ชนิดหนึ่งชูช่อออกผลเคียงคู่กับต้นรักซ้อนนั้น คนทั้งหาลยเรียกกันว่า ‘ต้นยมมะ’ แล้วเพี้ยนมาเป็น ‘ต้นมะยม’ ในทุกวันนี้
หากกระนั้นในบางที่ของตำนานเส้นทางสายนี้กลับมีความแตกต่างจากกันในตอนท้ายของเรื่อง กล่าวคือ เมื่อรัตตะกุมารได้ลอบปลงพระชนม์พระราชาแล้วนั้น ทั้งรัตตะกุมารและยมมะกุมารได้กลับไปที่อาศรมของพหลปิติฤาษีผู้เป็นอาจารย์ รัตตะกุมารได้ออกบวช ส่วนยมมะกุมารนั้นเมื่อเข้าสู่วัยชราจึงได้ออกบวช จนเมื่อพหลปิติฤาษีผู้เป็นอาจารย์ได้ล่วงวัยถึงกาลแห่งอายุของตน จึงถามศิษย์ทั้งสองว่า “อยากได้อะไรที่เหนือกว่าโลกนี้” ทั้งสองตอบว่า “ขอให้พระอาจารย์ให้พรมา เราทั้งสองจะปฏิบัติตามอาจารย์หมดทุกอย่าง” พหลปิติฤาษีจึงให้พรว่า “เจ้าทั้งสองแม้จะไปเกิดชาติใดปางใดก็ตาม ขอให้มีเสน่ห์เป็นที่รักของคนทั่วไป จะไม่มีสัตรูทั้งปวง แต่ห้ามไปเกิดบนโลกมนุษย์ แต่ให้เป็นวัตถุที่ไม่มีชีวิตจิตใจ แต่วัตถุสิ่งนั้นจะมีชื่อเสียงก้องยืนนาน”
กล่าวพรจบแล้วพหลปิติฤาษีก็ละสังขาร ทั้งสองนำร่างของผู้เป็นอาจารย์ไปฝัง ต่อมาบริเวณที่ฝังสังขารร่างของผู้เป็นอาจารย์ได้เกิดต้นไม้ชนิดหนึ่งมีดอกซ้อนกันแพรวพราว มีสีสันสวยงามต้องตาต้องใจผู้คน เรียกกันว่า ‘ต้นรักซ้อน’ ต่อมาได้เกิดต้นไม้อีกชนิดหนึ่งขึ้นเคียงคู่กัน มีผลชูช่อตระหง่านตา สีสันน่ารับประทาน เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนทั้งปวง เรียกกันว่า ‘ต้นมะยม’
อีกเส้นทางหนึ่งของตำนาน ‘รักยม’ กล่าวว่า
บนยอดเขาลูกหนึ่งแห่งป่าหิมพานต์ เป็นที่ตั้งอาศรมของฤาษีตาไฟ ผู้เป็นหนึ่งใน ๑๐๘ พระฤาษีผู้เรืองฤทธิ์ พระฤาษีตาไฟนี้มีดวงตาที่ ๓ อยู่บริเวณหน้าผากระหว่างคิ้วทั้งสอง โดยปกติแล้วดวงตาที่ ๓ จะหลับสนิท แต่เมื่อใดที่ดวงตาที่ ๓ เปิดขึ้นมา เบื้องหน้าล้วนแล้วกลายเป็นจุณโดยทันที
ฤาษีตาไฟเป็นผู้มีเมตตาจิตสูงส่งยิ่ง ครั้งหนึ่งระหว่างที่บำเพ็ญตบะอยู่ในป่ารกชัฎแห่งหนึ่ง หญิงชาวบ้านคนหนึ่งได้เห็นปฏิปทาของพระฤาษีตาไฟแล้วมีความศรัทธาเป็นอย่างมาก ถึงกลับมอบบุตรชายทั้ง ๒ คน ให้เป็นศิษย์คอยรับใช้พระฤาษีตาไฟ เด็กทั้ง ๒ นี้คนพี่ชื่อ ‘รัก’ คนน้องชื่อ ‘ยม’
พระฤาษีตาไฟได้นำเด็กชายทั้ง ๒ กลับมายังอาศรมและได้สอนสรรพวิชาต่างๆ ให้ หากแต่วันหนึ่งขณะที่พระฤาษีตาไฟหลับอยู่ในอาศรมนั้น เด็กทั้ง ๒ นึกสนุกด้วยเห็นมาได้มาอยู่กับพระฤาษีเป็นเวาหลายปีแล้ว ยังไม่เคยเห็นดวงตาที่ ๓ ของพระฤาษีลืมขึ้นมาเลย จึงได้เอาไม้มาแหย่ที่ดวงตาที่ ๓ ของพระฤาษี ทันใดนั้นเองพระฤาษีได้ตกใจตื่นเพราะคิดว่ามีเหตุร้ายเกิดขึ้น ดวงตาที่ ๓ จึงเปิดลืมขึ้นเป็นเหตุให้เด็กน้อยทั้ง ๒ ไหม้เป็นจุณด้วยฤทธิ์ไฟจากดวงตาที่ ๓ นั้น
ครั้นพระฤาษีได้สติจึงรู้ว่าเด็กน้อยผู้เป็นศิษย์ทั้ง ๒ ได้ถูกไฟแห่งดวงตาที่ ๓ ไหม้เป็นจุณไปเสียแล้วด้วยความรักที่มีต่อศิษย์ทั้ง ๒ พระฤาษีตาไฟจึงได้นำเถ้ากระดูกของศิษย์ทั้ง ๒ ไปฝังลงดินใกล้ๆ กัน แล้วจึงอธิษฐานจิต ต่อมาที่หลุมฝังเถ้ากระดูกของเด็กน้อยทั้ง ๒ ได้เกิดเป็นต้นไม้ขึ้นมา ๒ ต้น ต้นหนึ่งเมื่อยามออกดอกไม่ว่าผู้ใดเดินผ่านจะบังเกิดความชื่นชอบหลงรักในดอกของต้นไม้นั้น ต้นไม้นี้จึงมีชื่อว่า ‘ต้นรัก’ ส่วนอีกต้นหนึ่งให้ผลคล้ายฝักทองขนาดเล็กมีสีเหลืองนวล และมีรสชาดหวานอมเปรี้ยวและมีกลิ่นหอมเวลารับประทาน เป็นที่ถูกใจของผู้ที่ได้รับประทานเป็นอย่างมาก ต้นไม้ต้นนี้เรียกกว่า ‘ต้นยม (มะยม)’
อย่างไรก็ตามด้วยเรื่องราวของตำนาน ‘รักยม’ พระเกจิอาจารย์จึงนำส่วนของต้นไม้ทั้ง ๒ มาแกะเป็นรูปกุมารคู่ ที่แกะจากต้นรักมีชื่อว่า ‘รัก’ ที่แกะจากต้นมะยมมีชื่อว่า ‘ยม’ กล่าวกันว่า ‘รักยม’ อยู่กับผู้ใดเมื่อบำรุงเลี้ยงกุมารทั้งสองจนดีแล้ว กุมารนั้นจะให้คุณเป็นการตอบแทนแก่เจ้าของอย่างสมใจ หรือตามแต่ท่านจะปรารถนาเป็นเอนกประการ
‘รักยม’ ที่ขึ้นชื่อเลื่องลือเป็นรักยมที่ปลุกเสกขึ้นโดยหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แต่อย่างไรก็ตามมีพระเกจิอาจารย์หลายรูปที่ได้สร้างและปลุกเสกรักยมขึ้นมา เพื่อให้ลูกศิษย์ลูกหาได้บูชาเพื่อโชคลาภวาสนา แต่การเลี้ยง ‘รักยม’ ให้ประสบผลสำเร็จตามอุปเท่ห์ที่โบราณจารย์ว่าไว้ จะต้องมีหิ้งสำหรับตั้งบูชา ‘รักยม’ ติดไว้ที่หัวนอน ก่อนนอนต้องบูชาทุกคืน โดยว่าคาถาบูชาดังนี้
“โอมมะ อัดแอลืมพ่อลืมแม่ ปู่เจ้าสมิงไพร ช้างกินก็ลืมโรง โขลงกินก็ลืมไพร จะอยู่มิได้ โมร้องไห้มาหากู มาจนถึงที่สำนัก มาตามหลักมาตามโขลง นางทองอย่าเสือก นางเผือกอย่าหัดไพร อะอยู่มิได้ โมร้องไห้มาหากู โอมมะอะทิ มะมะ นะมะพะทะ อะระหัง”
หรือคาถานี้ใช้ปลุกได้ทั้งกุมารทอง กุมารี รักยม และพรายทอง
“จิเจารุนิ จิตตัง เจตตะสิกกัง รูปัง กุมาโรวา นิมิตตัง กุมารทอง เจ้ารัก เจ้ายม พรายทอง อาคัจฉาหิ จิตติ เอหิ นะมะพะทะ นะมะพะทะ นะมะพะทะ”
แต่ถ้าจะไปไหนมาไหนต้องการให้เขาตามไปคุ้มครอง ให้ว่าคาถาดังนี้
“เอหิกุมารโร เอหิกุมารี เอหิรักยม เอหิพรายทอง ปิยังมะมะ ปุตตัง วะซายะติ อารักขานะ ปัจจะโย เจ้ารักเจ้ายม กุมารทอง พรายทอง จงมา จงมา เอหิมะมะ”
คาถาบทนี้ในขณะที่เรารับประทานอาหาร หรือเอาอาหารมาให้เขา ก็ใช้คาถาบทนี้เรียกเขาได้เช่นกัน
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
เงื่อนไขอื่นๆ |
|
Tags |